ทุกคนรู้กันมั้ยคะว่านอกจาก Pynpy’ จะเป็นเพื่อนซี้ของเหล่ามนุษย์เมนส์แล้ว Pynpy’ ก็ยังเป็นเพื่อนคู่ใจของเหล่าคุณแม่ทั้งมือใหม่และมือเก่าด้วยนะคะ วันนี้เหล่าคุณแม่เตรียมเฮกันได้เลยค่ะ เพราะหัวข้อที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้เป็นเรื่องของเหล่าคุณแม่นั่นเองค่ะ
ไหนๆ ขอเสียงคนที่กำลังจะเป็นคุณแม่มือใหม่หน่อยเร้ววว~ มีคุณแม่คนไหนเคยสงสัยมั้ยคะว่า จะคลอดเบบี๋เนี่ยควรคลอดแบบไหนดี? แล้วการคลอดลูกนั้นมีแบบไหนบ้าง Pynpy’ จะคลายข้อสงสัยเหล่านี้ให้เอง!
จริงๆ แล้วการคลอดลูกมีแบบไหนบ้างนะ?
การคลอดลูกนั้นมีทั้งหมด 3 แบบหลักๆ ด้วยกันค่ะ นั่นก็คือการคลอดลูกแบบธรรมชาติ การคลอดลูกแบบผ่าคลอด และการคลอดลูกแบบคลอดในน้ำ ซึ่งการคลอดลูกแบบที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือการคลอดลูกแบบธรรมชาติและการผ่าคลอดนั่นเองค่ะ
แต่การคลอดแต่ละแบบมันต่างกันยังไงบ้างล่ะ? แล้วควรจะคลอดแบบไหนถึงจะดีที่สุด? ข้อดี-ข้อเสียของการคลอดแต่ละแบบมีอะไรบ้าง? มาค่ะ เรามาทำความรู้จักกับการคลอดแต่ละแบบไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่า~
1. การคลอดแบบธรรมชาติ
การคลอดแบบธรรมชาติ หรือ Active Birth เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ สำหรับบรรดาเหล่าคุณแม่เลยล่ะค่ะ สาเหตุนั่นก็เป็นเพราะว่าการคลอดแบบธรรมชาติเป็นวิธีการคลอดที่ปลอดภัยสำหรับทั้งคุณแม่และเบบี๋ในครรภ์ และไม่มีการใช้ยาใดๆ กับตัวคุณแม่อีกด้วยนะคะ เพราะการคลอดแบบธรรมชาตินั้นไม่นับว่าเป็นการผ่าตัดนั่นเองค่ะ
การคลอดแบบธรรมชาติมีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง?
แต่ก่อนจะเลือกวิธีการคลอดใดๆ คุณแม่ก็ต้องไม่ลืมที่จะตรวจสอบข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธีการคลอดด้วยนะคะ ซึ่งข้อดีและข้อเสียของการคลอดแบบธรรมชาตินั้นก็มีดังนี้ค่ะ
ข้อดี
- ฟื้นตัวเร็วหลังคลอด
- เสียเลือดน้อย
- สามารถให้นมเบบี๋ได้ทันทีหลังคลอด
- ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด
ข้อเสีย
- ใช้เวลาในการคลอดนาน
- ไม่สามารถกำหนดวันคลอดได้
- เจ็บแผลหลังคลอด
- มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างคลอดและอาจต้องเปลี่ยนเป็นการผ่าคลอด
หลังจากทำความรู้จักกับการคลอดแบบธรรมชาติกันมาพอสมควรแล้ว เราไปลุยกันต่อกับวิธีต่อไปกันเลยดีกว่าค่ะ~
2. การคลอดแบบผ่าคลอด
การผ่าคลอด หรือ Cesarean Section (C-Section) คือการผ่าคลอดด้วยการผ่าตัดแทนการคลอดแบบธรรมชาติทางช่องคลอดค่ะ ซึ่งการคลอดแบบผ่าคลอดนั้นกำลังได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะในบรรดาคุณแม่สายมูที่อยากกำหนดฤกษ์งามยามดีในการคลอดลูกนั่นเองค่ะ
การคลอดแบบผ่าคลอดมีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง?
เช่นเคยค่ะ เราต้องมาศึกษาข้อดีและข้อเสียของการคลอดแบบผ่าคลอดกันด้วยนะคะ ซึ่งข้อดี-ข้อเสียของการผ่าคลอดนั้นก็มีตามนี้เลยค่ะ
ข้อดี
- สามารถกำหนดวันและเวลาคลอดได้
- ไม่รู้สึกเจ็บขณะคลอด
- สามารถเตรียมตัวล่วงหน้าได้
- คุณแม่สามารถทำหมันได้เลย
ข้อเสีย
- ฟื้นตัวช้าหลังคลอด
- เสียเลือดมาก
- อาจมีภาวะแทรกซ้อนเมื่อเจ็บครรภ์ครั้งต่อไป
- ค่าใช้จ่ายสูง
- เจ็บแผลนาน
ต่อไปเราไปลุยกันกับวิธีการคลอดวิธีสุดท้ายที่ Pynpy’ เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะยังไม่รู้จักการคลอดวิธีนี้มากนักแน่นอน นั่นก็คือ “การคลอดในน้ำ” นั่นเองค่ะ!
3. การคลอดในน้ำ
ถ้าให้เลือก ฉันก็จะเลือกคลอดในน้ำอีกครั้งนั่นแหละ ฉันก็อธิบายไม่ได้น่ะนะ แต่ฉันรู้สึกว่ามันเป็นวิธีที่ธรรมชาติที่สุดในการคลอดลูก แถมในขณะเดียวกันก็เป็นวิธีที่นุ่มนวลที่สุดในการต้อนรับเบบี๋มาสู่โลกนี้อีกด้วย
Coleen Garcia, YouTuber จากช่อง The Crawfords
การคลอดลูกในน้ำ หรือ Water Birth เป็น 1 ในการคลอดธรรมชาติ เพียงแต่คุณแม่เปลี่ยนจากการคลอดบนเตียงมาเป็นคลอดในสระหรืออ่างน้ำและเติมน้ำให้ท่วมครรภ์เท่านั้นเองค่ะ ซึ่งการคลอดในน้ำนั้นอาจจะยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมในประเทศไทยมากนัก แต่วิธีนี้ได้รับความนิยมในต่างประเทศมากๆ เลยนะคะ ขนาดที่ว่ามีคุณแม่สาย YouTuber จำนวนไม่น้อยทำคลิปรีวิวเอาไว้เลยล่ะค่ะ
การคลอดในน้ำมีข้อดี-ข้อเสียอะไรบ้าง?
และเพราะว่าการคลอดในน้ำยังไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนัก การศึกษาเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียของวิธีนี้จึงสำคัญมากเลยค่ะ ซึ่ง Pynpy’ ก็ได้รวบรวมมาให้แล้วค่ะ~
ข้อดี
- ฟื้นตัวหลังคลอดได้เร็ว
- ใช้แรงในการเบ่งน้อย
- เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต
- มดลูกหดตัวได้ดีขึ้น
- เจ็บน้อยกว่าการคลอดธรรมชาติ
ข้อเสีย
- เบบี๋อาจหายใจลำบากเมื่ออยู่ใต้น้ำ
- เสี่ยงต่อการติดเชื้อ
- สายสะดืออาจฉีกขาด
เป็นยังไงบ้างคะ? เหล่าคุณแม่มือใหม่มีตัวเลือกที่ชอบกันบ้างแล้วหรือยังเอ่ยย แต่ Pynpy’ ต้องบอกเลยนะคะว่าไม่มีการคลอดแบบไหนที่ “ดีที่สุด” มีแต่การคลอดแบบที่ “เหมาะกับคุณแม่และเบบี๋” ที่สุด เพราะฉะนั้นคุณแม่เลือกวิธีการคลอดแบบที่ชอบได้เลยค่ะ! เพราะถ้าคุณแม่แฮปปี้ เบบี๋ก็จะแฮปปี้ไปด้วยยังไงล่ะคะ 😀
อ๊ะๆ แต่นอกจากจะเลือกวิธีการคลอดอย่างระมัดระวังแล้ว การดูแลตัวเองหลังคลอดของคุณแม่ก็สำคัญไม่แพ้กันนะคะ จะมองข้ามไม่ได้เด็ดขาด!
How To ดูแลตัวเองหลังคลอด
หลังจากที่การคลอดเบบี๋ผ่านไปด้วยดี คราวนี้ก็ถึงตาคุณแม่ดูแลตัวเองบ้างแล้วล่ะค่ะ ซึ่ง Pynpy’ ก็ได้รวบรวม How To ดูแลตัวเองหลังคลอดมาให้เหล่าคุณแม่แล้ว ไปดูกันเลยค่ะ~
- ดูแลแผลหลังคลอดให้ดี หมั่นทำความสะอาดแผลที่ได้จากการคลอดเบบี๋ให้สะอาดอยู่เสมอ
- คุณแม่ควรพักผ่อนให้เต็มที่เพื่อไม่ให้รู้สึกเหนื่อย เครียด หรือล้าเกินไป
- ดูแลสภาพจิตใจให้ปลอดภัยจากภาวะซึมเศร้าหลังคลอด
- คุณแม่ไม่ควรยกของหนัก ออกกำลังกายหักโหมหรือออกแรงกับสิ่งใดนานๆ
- ดูแลและทำความสะอาดบริเวณน้องสาวอยู่เสมอ เพราะหลังคลอดคุณแม่จะมี “น้ำคาวปลา” ไหลออกมาอยู่ประมาณ 2-3 สัปดาห์
นี่ล่ะค่ะ How To ดูแลตัวเองหลังคลอดแบบง่ายๆ ที่ Pynpy’ รวบรวมมาให้เหล่าคุณแม่ทุกคน แต่เอ~ จากทุกข้อที่พูดมา มีใครคิดเหมือน Pynpy’ มั้ยคะว่าปัญหาน้ำคาวปลาเนี่ยคือปัญหาโลกแตกชัดๆ!
แต่ Don’t Worry ค่ะ! เพราะ Pynpy’ มี Item ที่จะช่วยให้คุณแม่สามารถจัดการกับปัญหาน้ำคาวปลาได้อย่างไร้กังวลมาฝากบรรดาคุณแม่ด้วยล่ะค่ะ!
กางเกงในอนามัย Pynpy’ เพื่อนซี้คู่ใจคุณแม่มือใหม่!
นอกจากจะต้องดูแลน้องจิมิโกะให้สะอาดอยู่เสมอจากปัญหาน้ำคาวปลาหลังคลอดและปัสสาวะเล็ด คุณแม่ก็ยังจะต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยอยู่บ่อยๆ ด้วยนะคะ ซึ่งตอนเลี้ยงเบบี๋เนี่ยจะให้ลุกไปเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 2 ชั่วโมงก็คงจะเป็นไปไม่ได้ นี่เลยค่ะ กางเกงในอนามัย Pynpy’ ตัวช่วยสุดเริ่ดสำหรับเหล่าคุณแม่!
เพราะกางเกงในอนามัย Pynpy’ เขาทั้งซึมซับเร็ว แห้งไว สามารถระบายอากาศได้ดี ใส่ได้นาน 8-12 ชั่วโมง หมดปัญหาต้องทิ้งเบบี๋ไปเปลี่ยนผ้าอนามัยไปได้เลยค่ะ
แถมกางเกงในอนามัย Pynpy’ เขายังมีไซส์หลากหลายให้เหล่าคุณแม่ได้เลือกใส่ หุ่นหลังคลอดจะเป็นแบบไหนก็ใส่ได้ นอกจากนี้คุณแม่คนไหนที่ผ่าคลอดก็ยังสามารถเลือกใส่กางเกงในอนามัย Pynpy’ รุ่น Seamless High Waist เพื่อช่วยปิดแผลผ่าคลอดได้ด้วยนะคะ แถมวิธีทำความสะอาดก็สุดจะง่าย และหลังจากหมดปัญหาน้ำคาวปลา คุณแม่ก็ยังสามารถหยิบกางเกงในอนามัย Pynpy’ มาใส่ในตอนมีเมนส์ได้อีก คุ้มกว่านี้จะมีอีกเหรอคะ!
คุณแม่คนไหนสนใจ กางเกงในอนามัย Pynpy’ เขาก็มีช่องทางสั่งซื้อมากมายเลยล่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อออนไลน์ หรือจะติดต่อสอบถามผ่านทาง YouTube, Facebook, Twitter, Instagram หรือ Line เขาก็มีพร้อม ใครได้ลองแล้วอย่าลืมมารีวิวให้ Pynpy’ ฟังด้วยน้า